เพื่อนรัก-เพื่อนแค้น
ผู้เข้าชมรวม
187
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เพื่อนรัก เพื่อนแค้น
แม่..มาเช่าบ้าน กับคุณนายบังอร เมื่อปี 2498 ก่อนหน้าที่แม่ของผม จะ มาเช่าห้องแถว ที่อำเภอนี้ แม่ได้เคยอาศัยที่ข้างวัดป่าประดู่ ตำบลดอนประดู่ อ.เมือง จ.ระยอง เหตุผล การย้ายมาอยู่อรัญ ฯ ผมมิทราบได้ แต่สันนิษฐาน คงน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการดำรงชีพ และการทำมาค้าขาย ด้วยสภาพแวดล้อมในเวลานั้น พวกเราที่อยู่ห้องแถว ในวัยตั้งแต่ 4-9 ขวบ จะมีความสุขกับการได้เล่นอะไรๆ กันตามประสา ช่วงค่ำๆ ทั้งเด็กชาย เด็กหญิง ก็จะมารอ รวมตัวกันเล่น รีรีข้าวสาร ปลาหมอตกคลัก เล่นตี่จับ เตย ขี่ม้าส่งเมือง ปากระป๋อง โป้งแปะ ฯลฯ พูดได้ว่าเด็กๆ ในรุ่นของเรา ต่างเฝ้ารอให้ถึงเวลานี้ กว่าจะเลิกเล่นก็สามทุ่มเศษ
บ่อยๆ ครั้ง ที่แม่ จะให้น้องสาว มาเรียกให้กลับเข้าบ้าน
“กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย แม่ให้มาตามกลับบ้าน” น้องสาว ตะโกนบอก
“แป๊บเดียว.. จบรอบนี้ก่อนจะกลับ” ผมตอบ จริงๆ ผมก็ตอบไปงั้นๆ ในใจก็คงจะดื้อยังไม่กลับ
การละเล่นกำลังสนุกสนาน ใครเล่าจะยอมเสียโอกาสนี้ การท้าทายไม่เรียวของแม่ มักเกิดขึ้นเสมอๆ และผมก็มักจะถูกทำโทษ เนืองๆ แต่ไม่หลาบ
“กลัวแล้วแม่ๆๆ หนูจะไม่ทำอีกแล้ว” ผมตะโกน และหลบไม่เรียวพัลวัน
“จำไว้ เวลาแม่ให้น้องไปเรียก ต้องกลับทันที” แม่ย้ำ
“ครับ”
ความสุขของพวกเรา (เด็กในเขตเทศบาลและนอกเขต) คือ การได้ยินรถโฆษณา จากรถขายยา ที่มาจากกรุงเทพ เพียงแค่ได้เห็นรถจาก โอสถสภา (ทันใจ) จากบริษัทดีทแฮล์ม (โอวัลติน) / บริษัท ถ่านไฟฉายเรโอแวค / ตรากบ / ตราแพะ รถยาหม่องถ้วยทอง / ยาหอมตราห้าเจดีย์ / ห้ากระติกน้ำ / ยาซ่อมปอดใหม่ ฯลฯ พวกเราก็ดีใจจนไม่เป็นอันเรียน สมาธิแทบจะไม่เหลือกับเนื้อกับตัว
ช่วงที่ป้าเตียง ย้ายมาอยู่ติดกับบ้านผม ป้าเตียง ได้มาทำความรู้จักกับแม่ก่อน เนื่องจากเธอทราบว่า บ้านพี่ฮะ พี่จิต กำลังจะย้ายไปอยู่ที่แห่งใหม่
“ช่วงแรกๆ ฉันจะมาอยู่คนเดียวก่อน ส่วนสามีและลูกจะตามมาอยู่ ภายหลัง ยังไงฉันฝากเนื้อฝากตัวด้วย” ป้าเตียง พูดกับแม่
“จ้า.. พี่” แม่ตอบ
ป้าเตียง.. เป็นคนกรุงเทพ ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เธอจึงย้ายมาอยู่ที่อรัญฯ แม้ผมจะยังเด็กก็พอมองออกว่า ฐานะของเธอดีกว่าครอบครัวของ ที่บ้านผมแน่นอน ดูจากเสื้อผ้าอาภรณ์ สวยสะอาด ที่ข้อมือ มีกำไรทองเส้นโตใหญ่ ที่ลำคอป้าเตียง มีสร้อยหนักสองบาท วับวาวเตะนัยน์ตาผู้พบเห็น แค่สัปดาห์หนึ่งผ่านไป เธอได้ไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่เทศบาล เพื่อจองสถานที่ สำหรับจำหน่ายสินค้า ในตลาดสดของเทศบาล
อีกสองสัปดาห์ต่อมา .. มีรถสิบล้อ ได้บรรทุกข้าวของเครื่องใช้ จากกรุงเทพ มาลง ที่บ้านเช่าหลังนี้ ครอบครัวของป้าเตียง ได้เริ่มเข้ามาอยู่ตั้งแต่วันนั้น ...อาชีพหลักที่เริ่มทำมาค้าขาย คือ ทำน้ำพริกเผา น้ำพริกนรก แหนม เนื้อแดดเดียว เนื้อสวรรค์ รสชาติอร่อยเป็นที่ถูกปากของชาวอรัญมาก
เพื่อนบ้านมาใหม่ ที่ผมได้รู้จัก คือ ลุงไฉน อดีตเสมียนตรา พร้อมลูกๆ ของเขา คือ ไอ้เจี๊ยบ และแข (ลูกสาวคนเล็กของป้าเตียง ที่มีวัยเดียวกันกับผม) ช่วงที่เขาขนของลงจากรถ ผมเห็นว่ามีรถจักรยานเสือหมอบ ทีวี วิทยุ ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า กระทะ หม้อใบใหญ่มาก ฯลฯ หลังจากที่เขา จัดของเข้าที่ ลุงไฉนก็ทดลองเปิดทีวี (ขาวดำ) เด็กๆ ในละแวกนั้น ต่างรู้สึกตื่นเต้น เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน
ไม่ว่าผม ไอ้เล็ก ไอ้เฮี้ยง ไอ้เดช ไอ้แกะ ต่างมายืนดูโทรทัศน์ด้วยความพิศวง ว่าไอ้ตู้เล็กๆ มันมีภาพและเสียง ให้ดูและฟังได้เสียด้วย ผมคิดว่าทีวี เครื่องนี้ น่าจะเครื่องแรกของห้องแถว หรืออาจเป็นเครื่องแรกของเมืองอรัญ ก็ได้
เท่าที่ผมพยายามนึก ว่าในเมืองอรัญฯ ในเวลานั้น ปี 2510 มีบ้านคนรวยหลังใดที่มีโทรทัศน์บ้าง ก็พอจะเห็นว่ามีเพียง ร้านไต๋หลี ร้านกาแฟสมจิตร และโรงแรมสุขสำราญ ณ เวลานั้น...ใช่ว่าคนมีฐานะดี จะมีโทรทัศน์ครอบครองได้ เพราะหากจะได้สิทธิได้ดูทีวี จำต้องเดินทางไปซื้อถึงตัวจังหวัด (ปราจีนบุรี) ที่มีทางไกลถึง 174 กม หรืออาจต้องเข้าไปซื้อที่กรุงเทพฯ
หลังเลิกเรียนแล้ว เด็กๆ ที่พักในห้องแถว ต่างมารวมตัวกันเพื่อจะมาชม หนัง การ์ตูน ป๊อบอาย ทอมแอนด์เจอรรี่ และโดนัลดั๊ก จากทีวีขาวดำบ้านลุงไฉน ผู้ดูแลการเปิด ปิดทีวี ที่ลุงไหน มอบหมาย คือ ไอ้เจี๊ยบ . ไอ้เจี้ยบ เป็นลูกคนที่สาม ของป้าเตียง เขามีโรคประจำตัว คือ โรคลมบ้าหมู แรกๆ ที่ผมพบไอ้เจี๊ยบ เห็นลักษณะของเจ้านี่ มีอาการแปลกๆ คือ มักชอบอ้าปากผะงาบๆ เป็นระยะๆ เด็กๆ แถวนั้นมักจะล้อเลียน ไอ้เจี๊ยบด้วยการอ้าปากล้อเลียน ซึ่งทำให้ไอ้เจี๊ยบโกรธคนที่ล้อเลียนเขา ถึงขั้นอาฆาตจะชำระแค้นให้สาสม
แม้ไอ้เจี๊ยบ จะมีอายุแก่กว่าผม เพียง 2 ปี แต่รูปร่างเขาใหญ่โตยังกับยักษ์ปักหลั่น หากเทียบน้ำหนักผมในเวลานั้น 25ก.ก. ไอ้เจี๊ยบ มีน้ำหนักถึง 65 กก. ไม่ว่าจะความสูง หรือน้ำหนัก มันเทียบกันไม่ได้เลยสักนิด ลุงไหน บอกกับใครๆ ทุกคน ว่าที่ไอ้เจี๊ยบ เรียนจบแค่ ป.4 ที่ไม่ให้เรียนต่อ เพราะมีโรคประจำตัว แม้ไอ้เจี๊ยบไม่ได้เรียนสูงแต่ผมคิดว่า หมอนี่ มันฉลาดแกมโกงน่าดู ทุกอย่างที่ไอ้เจี๊ยบทำ-เล่น-ขาย มันไม่ยอมที่จะเสียเปรียบใครๆ เด็กๆ ทุกคน ที่ไปรอดูโทรทัศน์ ที่ไอ้เจี๊ยบเปิดให้ดู จะต้องพกเงินเพื่อเตรียมไปซื้อขนม ลูกอม ที่ไอ้เจี๊ยบจำหน่าย ใครอุดหนุน ก็จะได้การจัดคิวให้นั่งแถวหน้า ใครไม่อุดหนุน ให้ดูทีวีอยู่นอกบ้าน ซึ่งเขาจะเป็นคนขีดเส้นกำหนดให้ยืน
ผมกับไอ้เจี๊ยบมักจะปีนเกลียวกันบ่อยๆ เพราะผมก็มีสลากลูกอมของขบเคี้ยว ปลาหมึกแผ่น หมากฝรั่งชนิดมวน (บุหรี่) ขายเหมือนไอ้เจี๊ยบ จริงๆ แล้ว ของขายเหล่านี้ ผมทำการค้ามาก่อนไอ้เจี๊ยบเสียอีก ป้าเตียงเห็นว่าหากให้ไอ้เจี๊ยบได้ขายของ พร้อมเปิดโทรทัศน์ให้เด็กๆ มาดู มันจะช่วยทำให้ลูกชายของตนมีรายได้ แม้ผมจะมีความขัดแย้งกับเขา แต่ก็ไม่มีเรื่องบาดหมาง ถึงขั้นทะเลาะวิวาทกันเลยสักครั้ง
หลายครั้ง ที่ผมกับไอ้เจี๊ยบชวนกันไปตกปลา ที่ริมห้วย ไอ้เจี๊ยบจะตกปลาได้น้อยตัว เป็นเพราะประสบการณ์และความชำนาญที่แตกต่าง ผมก็ได้แบ่งปันปลาเพื่อเป็นกำลังใจให้ การไปตกปลาคนเดียว ที่ริมห้วย จริงๆ มันวังเวง ทั้งๆที่รู้ว่า ไอ้เจี๊ยบ เป็นโรคลมชัก (บ้าหมู) ผมก็ยังชวนเขาไป
“ถ้าไอ้เจึ๊ยบ... มันชัก ผมจะช่วยมันยังไง ..ครับลุง” ผมถาม
“จับอ้าปาก แล้วใช้ช้อน หรือเศษไม้ใส่ระหว่างฟันกับฟัน มันจะได้ไม่กัดลิ้นตัวเอง ก่อนที่จะเป็นลมชัก มันจะมีอาการที่บอกเตือนล่วงหน้า คือ ที่ปากจะผะงาบ สักห้า-หกครั้ง ตอนนี้เตรียมหาของไว้ใส่ปากเลย” ลุงไหน พูด
...............................................................................
ทุกครั้ง..ที่มีรถฉายหนังกลางแปลง มาฉายที่หลังเทศบาล ด้านหน้า เทศบาล ผมกับไอ้เจี๊ยบ ก็จะไปร่วมจับจองที่นั่ง-ที่นอนดูหนังด้วยกัน เราจะสลับกันเป็นคนเฝ้าที่ ที่จับจอง เด็กๆ ในพื้นที่เทศบาล ไม่ว่าจะมาจากตลาดนอก ตลาดสด บ้านอรัญ วัดเกาะ วัดหลวง บ้านดาวทอง บ้านน้อยจันตคาม บ้านฟากห้วย ต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ที่จะได้มากระโดดโลดเต้นและใช้มือ ใช้ผ้าโยน ระหว่างที่เครื่องฉายกำลังลองฉายแสงให้กระทบจอหนัง การเห็นเงาตนเองในจอ... เหมือนตนได้เป็นฮีโร่ ของเพื่อนๆ ทุกคนจะมีความสุข บางคนกอดรัดฟัดเหวี่ยง ล้มกลิ้ง สนุกสนาน
ผมกับไอ้เจี๊ยบ มักจะนั่งดูหนังกลางแปลง ด้วยกันตลอดเวลา เพราะบ้านเราอยู่ติดกัน หนังบางเรื่องที่ไม่สนุก บางครั้งผมก็จะกลับมาบ้านก่อน ในค่ำวันหนึ่งที่ผมไปดูหนัง เรื่องอาลีบาบา ซึ่งผมเคยดูมาแล้ว แต่ไอ้เจี๊ยบเพิ่งเคยดูครั้งแรก ...ปัญหาจึงเกิด เมื่อเวลาถึงตอนใดที่ผมจำเรื่องได้ ผมจะบอกเล่าเรื่องให้เจี๊ยบรู้
“มึงไม่ต้องเล่าเรื่อง เดี๋ยวกูดูเอง” ไอ้เจี๊ยบ พูดด้วยความรำคาญ
แม้ไอ้เจี๊ยบจะขอร้องผมอย่างไร ผมก็ยังกระทำการก่อกวนสร้างความรำคาญต่อไป
“ถ้ามึงไม่หยุด ต้องมีเรื่องแน่ๆ” เจี๊ยบพูด ด้วยอาการเกรี้ยวโกรธ
“เรื่องอะไร” ผมพูด กวนโอ๊ย เพื่อนรุ่นพี่
ไม่ทันที่ผมจะพูดต่อไป ไอ้เจี๊ยบก็ลุกขึ้นมาทุบหลังผมไปหลายบึ่ก ทั้งยังเตะ ทั้งกระทืบผม ไปอีกหลายครั้ง ช่วงชุลมุน ผมก็ได้ต่อยที่จมูกเขาจนเลือดกำเดาไหล จนต้องมีคนข้างๆ มาห้าม คืนนั้นหลังจากเกิดเรื่องวิวาทแล้ว ผมได้กลับมาบ้านก่อน
“อยู่ดี ไม่ว่าดี ไปให้มันโมโห เป็นไงบ้างล่ะ” แม่พูด
“มันทุบหลังหนูไปห้าหกครั้ง น่ะแม่” ผมฟ้อง
“พรุ่งนี้ ค่อยกินดีหมี.. ไปหลับไปนอนก่อนคืนนี้” แม่พูด
นี่คือบทเรียนครั้งสำคัญ ที่ผมต้องจดจำ ทางลุงไหน ได้มาขอโทษขอโพยแม่ แทน ช่วงนั้นผมกับไอ้เจี๊ยบเหินห่างกันไปสักพัก โชคดีที่บ้านจ่าเชวง พ่อไอ้ยุทธ เพิ่งย้ายมาจากเมืองจันท์ มีโทรทัศน์ จอใหญ่ กว่าบ้านไอ้เจี๊ยบ เปิดให้เด็กๆ ดู ผมจึงไม่ง้อบ้านไอ้เจี๊ยบอีกต่อไป
คืนนั้น....หากผมหลบไม่ทัน คงเจ็บกว่านี้แน่ๆ จะอย่างไร.. แม่ที่เป็นห่วงลูกมาก ต้องจำยอมให้ผมกินสมุนไพรดีหมี ที่มีราคาแพง ซึ่งมีคนแถวบ้านนิคม นำมาขายให้แม่ ก่อนหน้าที่ผมจะถูกไอ้เจี๊ยบกระทืบที่กลางหลัง ขณะผมล้มลง
“ขมน่ะ แม่” ผมบอก
“กินๆ.. ไป จะได้หาย” แม่บอก
แม่เอาดีหมี ที่ซื้อมาฝนกับถ้วย ให้มันละลายกับน้ำซาวข้าว แล้วกวาดลงที่ปลายลิ้นผม จากนั้นให้ผมดื่มน้ำตามเข้าไป ผมทราบว่า ดีหมีจะช่วยบรรเทาอาการช้ำในได้ชะงัด เวลาผ่านไป ความโกรธ ก็ค่อยน้อยลง ผมกับไอ้เจี๊ยบก็มาเป็นเพื่อนกันดังเดิม หลายๆ ครั้ง ไอ้เจี๊ยบ ก็มาชวนผมเอาหนังสติ๊ก ไปยิงนก ตกปลา ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็มีความสุข จนเมื่อผมมาเรียนกรุงเทพ มาทราบว่า ไอ้เจี๊ยบได้เสียชีวิต เพราะโรคลมชัก ซึ่งช่วงเวลานั้น เขามาตกปลา ที่ริมห้วยคนเดียว... และไม่มีใครเห็น และได้ช่วยเหลือเขาทัน จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้า สำหรับคู่รักคู่แค้น ที่เคยมีต่อกัน
เกือบ 7 ปี ที่เราเคยเป็นเพื่อนที่ดี ต่อกัน ....อนิจจังไม่เที่ยงแท้ มีพบก็มีจาก 50 ปี แล้ว ที่เอ็งจากไป ภาพเก่าๆ ที่เคยเห็น ยังจำได้ เสมอนะ ไอ้เจี๊ยบ
(๑๘ มิถุนายน ๖๕)
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น